7 สาเหตุ พร้อม 4 แนวทางแก้ปัญหาลูกฟันห่างอย่างมีประสิทธิภาพ
การที่เด็กมีฟันห่างเป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนกังวล โดยเฉพาะในช่วงฟันน้ำนมและฟันแท้เริ่มขึ้น เพราะการมีฟันห่างในวัยเด็กไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความมั่นใจ แต่ยังเป็นรากฐานที่สำคัญในการมีฟันที่เรียงตัวสวยและสุขภาพช่องปากที่ดีในอนาคต ใครที่รู้สึกว่าลูกฟันห่างอย่าเพิ่งตื่นตระหนก เพราะหากได้รับการดูแลและแก้ไขอย่างถูกวิธี ฟันห่างในเด็กทุกช่วงวัยก็มีโอกาสดีขึ้นได้เช่นกัน
ลักษณะฟันห่างในเด็กเป็นอย่างไร ?
ฟันห่าง หรือ Diastema หมายถึง การที่เด็กมีช่องว่างระหว่างฟันกว้างเกิน 0.5 มิลลิเมตรขึ้นไป จนสามารถสังเกตเห็นช่องว่างได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า ส่วนใหญ่มักพบช่องว่างระหว่างฟันหน้าด้านบน หรือบางกรณีก็อาจเกิดกับฟันกรามด้วย ถือเป็นปัญหาด้านทันตกรรมที่พบได้ทั่วไป โดยเฉพาะในเด็กที่ฟันน้ำนมกำลังจะหลุดและมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ จะมีฟันน้ำนมห่างอย่างเห็นได้ชัด เพื่อเว้นพื้นที่ให้เพียงพอสำหรับฟันแท้ที่มีขนาดใหญ่กว่า
7 สาเหตุที่ทำให้เด็กฟันห่างที่พ่อแม่ควรรู้
นอกจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของช่องปากแล้ว ยังมีสาเหตุที่ทำให้ลูกฟันห่างอีกหลายประการ ที่พบได้บ่อย มีดังนี้
1. ขนาดฟันเล็กกว่ากระดูกขากรรไกร
หากฟันของเด็กมีขนาดเล็กกว่ากระดูกขากรรไกร ฟันจะเรียงตัวห่างกันโดยอัตโนมัติ เพื่อเติมพื้นที่ขากรรไกรให้เต็ม ถือเป็นสาเหตุที่เกิดได้ตามกรรมพันธุ์และไม่ใช่ความผิดปกติร้ายแรงแต่อย่างใด
2. ฟันซ้อน ฟันเกิน หรือฟันหาย
ฟันซ้อนหรือฟันเกิน เป็นปัญหาที่เกิดเมื่อฟันแท้มีพื้นที่ไม่เพียงพอ จึงต้องขึ้นข้ามฟันน้ำนมที่ยังไม่หลุด ส่งผลให้เกิดการเบียดกันของฟันซี่อื่นๆ ทำให้ฟันที่ขึ้นใหม่ไม่สามารถเรียงตัวได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้เกิดช่องว่างหรือฟันห่างในบางตำแหน่งได้ ในขณะที่ฟันหาย ก็ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันได้เช่นกัน
3. พังผืดที่เหงือก (Frenum) ยึดแน่นเกินไป
พังผืดที่เหงือก (Frenum) คือ เนื้อเยื่อที่เชื่อมระหว่างเหงือกบนกับริมฝีปาก หากพังผืดนี้มีความยืดหยุ่นน้อยหรือยึดแน่นเกินไป จะทำให้เกิดระยะห่างระหว่างฟันหน้าคู่กลาง เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาเด็กฟันห่าง
4. พฤติกรรมลิ้นดันฟัน (Tongue Thrusting)
พฤติกรรมที่เด็กใช้ลิ้นดันฟันขณะพูดหรือกลืนน้ำลาย โดยเฉพาะเด็กที่ยังติดพฤติกรรมการดูดนิ้วหรือดูดขวดนม ทำให้เกิดแรงกดที่ฟันหน้า เมื่อเกิดขึ้นซ้ำเป็นเวลานาน จะทำให้ฟันห่างได้
5. โรคเหงือกและการอักเสบ
โรคเหงือกและการอักเสบ เป็นสาเหตุให้เนื้อเยื่อและกระดูกที่รองรับฟันเสื่อมสภาพ ไม่สามารถยึดฟันไว้ได้แน่นหนาเท่าที่ควร เป็นสาเหตุให้ฟันโยกและเกิดช่องว่างระหว่างฟันตามมา
6. การถอนฟันหรือฟันหลุด
การสูญเสียฟันจากการถอนฟันเพราะฟันผุ หรือฟันน้ำนมหลุดไปตามธรรมชาติ ฟันแท้ที่ขึ้นมาแทนที่อาจไม่เรียงตัวตามปกติ ส่งผลให้ฟันข้างเคียงเคลื่อนที่และมีช่องว่างที่สังเกตเห็นได้ชัด
7. เนื้อเยื่อเหงือกเจริญเติบโตมากเกินไป
เนื้อเยื่อเหงือกที่เจริญเติบโตมากเกินไปอาจปิดหรือกดฟันใหม่ที่กำลังขึ้นมาได้ ทำให้ฟันไม่สามารถขึ้นมาเรียงตัวอย่างปกติ และสร้างช่องว่างระหว่างฟัน จึงต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อนำเนื้อเยื่อเหงือกส่วนเกินออก
ผลกระทบของปัญหาฟันห่างในเด็ก
ปัญหาลูกฟันห่างอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้ว หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี ปัญหานี้อาจไม่ได้ส่งผลถึงแค่รูปลักษณ์ แต่อาจกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเด็ก ๆ ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในประเด็นเหล่านี้
1. เศษอาหารติดตามซอกฟันง่าย
เด็กฟันห่างมีความเสี่ยงที่เศษอาหารจะเข้าไปติดในซอกฟันได้ง่ายเป็นพิเศษ หากไม่ทำความสะอาดให้ดี เศษอาหารที่ติดอยู่จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งนำไปสู่การเกิดกลิ่นปาก ฟันผุ และโรคเหงือกได้ง่ายขึ้น
2. ปัญหาการเรียงตัวของฟัน ทำให้ฟันซี่อื่นขึ้นผิดตำแหน่ง
ฟันห่างในเด็กส่งผลต่อการขึ้นของฟันซี่อื่น ซึ่งอาจขึ้นมาในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม เสี่ยงการเกิดฟันซ้อนเก หรือการเรียงตัวที่ไม่สมดุลในช่องปาก ส่งผลให้การเคี้ยวอาหารหรือการทำความสะอาดฟันยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฟันผุในระยะยาว
3. ผลกระทบต่อการพูดและการรับประทานอาหาร
ช่องว่างระหว่างฟันทำให้การสบฟันไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เด็กพูดบางคำได้ยาก และอาจไม่ชัดเจน เช่น การออกเสียง "ส" หรือ "ฟ" ส่วนการเคี้ยวอาหารก็ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะกระทบต่อระบบย่อยอาหารได้
4. เสียโอกาสในการทำอาชีพบางประเภท
การมีฟันห่างกระทบต่อความมั่นใจในตัวเอง โดยเฉพาะในเด็กวัยกำลังโตและต้องเข้าสังคม ทำให้เด็กไม่มั่นใจในการแสดงออก ไม่กล้าพูดต่อหน้าผู้อื่น กระทบต่อการพัฒนาทักษะการสื่อสารในอนาคต และเสียโอกาสในการทำอาชีพที่ให้ความสำคัญกับบุคลิกภาพและการสื่อสาร เช่น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พิธีกร ผู้ประกาศข่าว ศิลปิน
4 วิธีแก้ปัญหาฟันห่างในเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ
การรับมือกับปัญหาลูกฟันห่างสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาฟันห่างและสภาพช่องปากของเด็กแต่ละคน ได้แก่
1. การจัดฟัน
การจัดฟันสำหรับเด็ก เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับเด็กที่มีปัญหาฟันห่างจากการเรียงตัวของฟันไม่ถูกต้อง ช่วยให้ฟันเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องและเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดฟันแบบใส (Invisalign) ถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวกสบายและไม่ระคายเคืองช่องปาก แก้ไขฟันห่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้เวลาในการรักษา โดยปกติแล้วจะใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับกรณี
ตัวอย่างเด็กฟันห่างที่รักษาด้วยการจัดฟันใส
ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
2. การอุดปิดช่องว่างระหว่างฟัน (Composite Bonding)
การอุดปิดช่องว่างระหว่างฟันด้วยวัสดุคอมโพสิต (Composite) เป็นวิธีที่เหมาะกับกรณีที่ช่องว่างระหว่างฟันไม่กว้างมาก โดยทันตแพทย์จะใช้วัสดุที่มีสีคล้ายกับฟันธรรมชาติในการอุดช่องว่างนี้ ซึ่งวิธีนี้เป็นการปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟันให้สวยงามขึ้นทันที และไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของฟัน
3. การทำวีเนียร์
วีเนียร์ (Veneers) คือ การติดแผ่นเคลือบฟันบาง ๆ ที่ทำจากวัสดุเซรามิกหรือคอมโพสิตบนผิวฟัน เพื่อให้ฟันมีลักษณะที่เรียบเนียนและสวยงาม วิธีนี้เหมาะสำหรับเด็กที่มีฟันห่างในระดับที่ไม่รุนแรงและต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกของฟันให้ดูเรียบเนียนขึ้น
4. การผ่าตัดเนื้อเยื่อเหงือก (Frenectomy)
กรณีที่เด็กมีพังผืดเหงือกที่ยึดติดอยู่ระหว่างฟันและริมฝีปาก ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟัน ทันตแพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเนื้อเยื่อเหงือก หรือที่เรียกว่า Frenectomy เพื่อลดหรือกำจัดพังผืดนี้ออก ช่วยให้ช่องว่างระหว่างฟันปิดลงอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อฟันเติบโตขึ้น
ไขข้อสงสัย FAQ เกี่ยวกับเรื่องเด็กฟันห่าง
1. ฟันห่างในเด็กต้องได้รับการรักษาไหม ?
ไม่ใช่ทุกกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่หากช่องว่างระหว่างฟันกว้างมาก หรือเกิดจากการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติ อาจทำให้เด็กมีปัญหาในการพูด การรับประทานอาหาร หรือสุขภาพช่องปากในอนาคต ดังนั้น ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสภาพฟันและตัดสินใจว่าจะต้องทำการรักษาหรือไม่
2. การจัดฟันแบบใส (Invisalign) ใช้ได้ผลจริงไหม ?
การจัดฟันแบบใส (Invisalign) เป็นวิธีที่ใช้ชุดอุปกรณ์ที่ทำจากพลาสติกใสในการปรับตำแหน่งฟัน สามารถถอดออกได้และไม่ระคายเคืองช่องปาก ใช้ได้ผลดีกับเด็กที่มีฟันห่างจากการเรียงตัวของฟันผิดปกติ
3. ฟันห่างในเด็กสามารถหายเองได้หรือไม่ ?
บางกรณี ฟันห่างในเด็กสามารถปิดช่องว่างได้เองเมื่อฟันแท้เริ่มขึ้นและขากรรไกรเจริญเติบโตเต็มที่ หรือเมื่อพังผืดที่เหงือกหดตัวตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม หากช่องว่างกว้างมากหรือมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากทันตแพทย์ เช่น การผ่าตัดพังผืดเหงือก หรือการจัดฟันเมื่อฟันแท้ขึ้นครบแล้ว
4. การจัดฟันแบบใสกับการจัดฟันแบบเหล็กต่างกันอย่างไร ?
การจัดฟันแบบใส (Invisalign) ใช้เครื่องมือที่ทำจากพลาสติกใส สามารถถอดออกได้ ทำให้สะดวกต่อการทำความสะอาดและไม่ระคายเคืองช่องปาก ในขณะที่การจัดฟันแบบเหล็กใช้เครื่องมือโลหะที่ติดแน่นกับฟันตลอดการรักษา ทำให้ยากต่อการดูแลความสะอาดและรู้สึกระคายเคืองช่องปาก แต่การจัดฟันแบบเหล็กอาจเหมาะกับปัญหาฟันที่รุนแรงกว่า
5. เมื่อไรที่ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันห่าง ?
ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถประเมินการเจริญเติบโตของฟันและปัญหาฟันน้ำนมห่างได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากพบว่าเด็กมีฟันห่างผิดปกติหรือเริ่มมีปัญหาฟันไม่เรียงตัว ก็สามารถเริ่มการรักษาได้เร็วขึ้น
รับมือกับปัญหาเด็กฟันห่างแบบถูกวิธีด้วยการจัดฟันแบบใส Invisalign สำหรับเด็ก ปรับการเรียงตัวของฟันโดยไม่ระคายเคืองช่องปากที่ MITI Dental เพื่อให้ลูกน้อยของคุณยิ้มได้อย่างมั่นใจและมีสุขภาพฟันที่ดีอย่างยั่งยืนตั้งแต่ก้าวแรก พร้อมบริการด้านทันตกรรมอื่น ๆ สำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น Invisalign สำหรับผู้ใหญ่ การครอบฟันและการทำรากเทียม หรือการฟอกฟันขาวด้วยเทคโนโลยี Zoom Whitening
MITI Dental ตั้งอยู่กลางซอยอารีรักษ์ สุขุมวิท 50 ห่างจาก BTS อ่อนนุชเพียง 500 เมตร พร้อมที่จอดรถกว่า 10 คัน เปิดบริการทุกวัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายเข้าพบทันตแพทย์ได้ที่เบอร์ 092-288-8061 หรือ LINE Official Account : @mitiwellness
ข้อมูลอ้างอิง:
The Association between the Midline Diastemas and the Superior Labial Frenum. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 จาก https://www.thaiscience.info/journals/Article/JMAT/10986343.pdf